วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2559

ความหมายของ font,typeface,alphabet,Typography

      ความหมายของ font,typeface,alphabet,Typography

font คือ ชุดของตัวอักษร ตัวเลข เครื่องหมายวรรคตอนและสัญลักษณ์อื่น ที่ใช้ในการเขียน หรือพิมพ์ แม้ว่าตัวพิมพ์(font)และแบบอักษร(typeface)คือคำเดียวกันโดยกายภาพ แต่แบบอักษรคือการออกแบบ  เพราะฉะนั้นตัวพิมพ์ (font) คือสิ่งที่เราใช้



typeface หมายถึง กลุ่มของ fonts ต่างๆ ที่มี design เหมือนกัน แต่ต่างกันในแง่ของความหนา(font-weight)”, “ความกว้าง(font-stretch)” และความเอียง(font-style)”


character Design คือ
character แปลว่า ลักษณะ, design คือ การออกแบบ
Character + Design จึงแปลว่า การออกแบบ 'ลักษณะให้กับตัวละคร
หรืออธิบายได้ว่า เป็นการออกแบบ เอกลักษณ์ ให้กับตัวละครนั่นเอง

            
alphabet คือ สัญลักษณ์ หรือ เครื่องหมาย สำหรับใช้แทนหน่วยเสียง ในภาษาหนึ่งๆ โดยเรียกรวมทั้งชุดหรือทั้งระบบ โดยทั่วไป อักษรแต่ละตัว มักจะใช้แทนหน่วยเสียงหนึ่งๆ ซึ่งอาจเป็นเสียงสระ พยัญชนะ หรือหน่วยเสียงปลีกย่อยอื่นๆ เช่น อักษรโรมัน อักษรไทย อักษรมอญ โดยทั่วไปเรียกกันว่า "ตัวหนังสือ"

Typography คือ ศาสตร์แห่งการออกแบบและการจัดตัวอักษรเพื่อการสื่อสาร ซึ้งหมายถึงการออกแบบตัวอักษร(Typefaces)และการจัดวางชุดแบบตัวพิมพ์(Fonts)ให้เหมาะสมสวยงามกับพื้นที่ว่างและองค์ประกอบต่างๆ ที่ใช้ในงานออกแบบสื่อสารตามระับบการพิมพ์และการเผยแผ่ประชาสัมพันธ์ทุกชนิด



วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2559

ศัพท์ทาง ANATOMY FONT

 ศัพท์ของ Anatomy Font



- Stroke = เส้นของลำตัว

- Stem = ลำตัวหลัก

- Descender = ส่วนที่ยื่นลงมาข้างล่าง

 -Ascender = ส่วนที่ยื่นขึ้นข้างบน

 -Shoulder = บ่าของตัวอักษรหรือส่วนที่โค้งของตัวอักษร

- Serif = ฐานที่ยื่นจากลำตัว

- Apex = ยอดบน

- Loop = เส้นบางของตัวอักษร

- Spine = ส่วนที่เอียงของลำตัวอักษร

- Arm = ส่วนที่เป็นแขนหรือกิ่ง

- Leg = ส่วนที่เป็นขา

- Crossbar = เส้นแกนกลาง หรือเส้นที่ตัดขวาง

- Terminal = ส่วนที่ยื่นออกมาเป็นจะงอย

- Ball Terminal = ส่วนที่เป็นจะงอยที่มีลักษณะกลม

- Finial = ส่วนที่ยิ่นสูงกว่าปกติ

- Counter = พื้นที่ช่องว่างในลำตัวของตัวอักษร

- Bracket = บ่าของฐาน

- Link = ส่วนที่เป็นเส้นเล็กๆที่งอกออกมาจากลำตัวหลัก

- Spur = ส่วนที่มีลักษณะเป็นเงี่ยงเล็กๆ





Font & Typeface

Typeface vs Font 

Typeface vs Font

Typeface คือแบบของตัวอักษร ที่ออกแบบหรือคิดค้นขึ้นมาโดย “นักออกแบบตัวอักษร” นั่นเองครับ ซึ่งในแต่ละ typeface จะมี shape ที่แตกต่างกันออกไป ส่วน Font นั้นเป็นเพียง “รูปแบบ” หรือ “ลักษณะ” หนึ่ง ของ typeface ครับ ตัวอย่างเช่น “Helvetica Bold Condensed Italic” เป็นคนละ font กับ “Helvetica Condensed Italic” และ “Helvetica Bold Condensed” แต่ทั้ง 3 fonts นั้น ถือว่าอยู่ใน typeface เดียวกัน ซึ่งก็คือ “Helvetica”
พูดง่ายๆ ก็คือ typeface หมายถึง กลุ่มของ fonts ต่างๆ ที่มี design เหมือนกัน แต่ต่างกันในแง่ของ “ความหนา(font-weight)”, “ความกว้าง(font-stretch)” และ “ความเอียง(font-style)” นั่นเองครับ

ที่มาของคำว่า “Font”

หลายๆ คนอาจสงสัยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ บางคนอาจเข้าใจมาตลอดว่า font คือ แบบของตัวอักษร(Typeface) ถ้าอยากหายสงสัยต้องไปศึกษาที่มาของมันครับ “font” มาจากคำว่า “fount” ซึ่งแปลว่า “สิ่งที่ถูกหลอม” ในสมัยก่อน การจะพิมพ์ตัวหนังสือลงไปบนอะไรสักอย่างจะต้องใช้ “ตัวพิมพ์” ซึ่งมักจะสร้างมาจากโลหะที่เอามาหลอมลงในแม่พิมพ์ ซึ่งหมายความว่า หากเราอยากได้ตัวหนา ตัวกว้าง ตัวเอียง หรือแม้แต่ตัวขนาดใหญ่ขึ้น เราจำเป็นจะต้องสร้าง “ตัวพิมพ์” ขึ้นมาใหม่ เพื่อมารองรับตัวอักษรแบบนั้นๆ โดยเฉพาะ และนี่เอง ที่ทำให้เราเรียก “รูปแบบ” ของตัวอักษรที่แตกต่างกันว่า “font” แต่ในปัจจุบัน ซึ่งเปลี่ยนจากยุคของโลหะมาเป็นยุค digital ทำให้ขนาดของตัวอักษรนั้นสามารถเพิ่มหรือลดได้โดยง่าย นิยามของคำว่า “font” จึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เหลือแค่ความต่างกันในด้านของ ความหนา ความกว้าง และ ความเอียง เท่านั้น

รู้จักกับ Glyph ใน Typeface

ขึ้นชื่อว่าเป็น typeface จะต้องมี “Glyph” ครับ เพราะมันก็คือ “อักขระ” ที่ใช้แทน ตัวอักษร ตัวเลข เครื่องหมาย รวมไปถึงสัญลักษณ์ต่างๆ นั่นเอง บาง typeface อาจรองรับหลายภาษาด้วยกัน จึงทำให้มี glyph อยู่เป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้เอง จึงมีกระบวนการ “Subsetting” เกิดขึ้นมา ซึ่งก็คือการตัด glyph ที่เราไม่ต้องการออก เพื่อลดขนาดของ font file ให้เล็กลงนั่นเอง

Typeface แบบ Serif กับ Sans-Serif ต่างกันอย่างไร?

เชื่อว่าหลายๆ คน คงเคยได้ยินคำว่า “Serif” กันมาตั้งแต่เริ่มใช้คอมพิวเตอร์ แต่คงมีคนจำนวนไม่น้อย ที่ยังไม่รู้ความหมายของมัน คำว่า “Serif” ก็คือ “การเล่นหาง” นั่นเองครับ typeface ใดก็ตามที่เป็นแบบ serif ก็หมายความว่า ทุกๆ glyph จะมีการตวัดหาง ไม่ได้จบแบบห้วนๆ ซึ่งจะตรงกันข้ามกับ typeface แบบ “Sans-serif” ที่จะไม่มีการเล่นหางใดๆ ทั้งสิ้น (คำว่า “sans” มาจากภาษาฝรั่งเศส ซึ่งแปลว่า “ไม่มี”)
จากการสำรวจ พบว่า typeface แบบ serif นั้นจะอ่านได้ง่ายกว่าหากใช้กับข้อความยาวๆ ซึ่งนี้เอง เป็นสาเหตุที่สื่อสิ่งพิมพ์นิยมใช้ typeface แบบนี้ อย่างไรก็ตาม การใช้ typeface แบบ sans-serif กลับได้รับความนิยมมากกว่าบนเว็บไซต์ เนื่องจากการเล่นหางของ serif นั้น อาจทำให้อ่านได้ยากขึ้น หากดูด้วยหน้าจอที่มีความละเอียดไม่สูงนัก

serif vs san-serif typeface

รู้จักกับ Typeface แบบ Proportional และ Monospaced

typeface แบบ “Proportional” จะมีความกว้างของ glyph ที่แตกต่างกันออกไป เช่น glyph ที่ใช้แทนตัว “i” กับ “w” จะมีความกว้างไม่เท่ากัน ตรงข้ามกับ typeface แบบ “Monospaced” ซึ่งแต่ละ glyph จะมีความกว้างเท่ากันเสมอ
โดย ทั่วไปแล้ว typeface แบบ proportional นั้นจะดูสวยงาม และอ่านง่ายกว่า ซึ่งเรามักจะพบเห็น typeface แบบนี้ได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ เว็บไซต์ รวมไปถึง GUI ของ application ต่างๆ
แต่ typeface แบบ monospaced ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อดีเลย ด้วยลักษณะที่ทุกๆ glyph มีความกว้างเท่ากันหมด จึงนิยมนำ typeface แบบนี้มาใช้กับ เครื่องพิมพ์ดีด, หน้าจอที่แสดงผลได้เฉพาะตัวอักษร(เช่น นาฬิกาดิจิตอล) รวมไปถึง หน้าจอ Terminal เป็นต้น

Typeface vs Font

Typeface คือแบบอักษรที่ Designer ได้ออกแบบขึ้นมา ส่วน Font คือ Typeface ที่มีความต่างกันในเรื่องของความหนา ความกว้าง และความเอียง
ขอบคุณข้อมมูลจาก

ศึกษาเกี่ยวกับสัดส่วนและโครงสร้างของตัวอักษร





“ฟอนต์ไทยตัวเล็กกว่าฟอนต์อังกฤษ” เป็นคำพูดเหมารวมจนเป็นความเชื่อสาธารณะที่หลายคนคงเคยได้ยิน
โดยสามัญสำนึกของคนไทยที่ใช้คอมพิวเตอร์ทำงานใดๆ ก็ตามเกี่ยวกับตัวอักษร เรารู้ว่าค่าปริยาย (default) ของฟอนต์ภาษาอังกฤษอยู่ที่ 12 point (pt) แต่เมื่อเปลี่ยนมาใช้ฟอนต์ภาษาไทย เราพบว่าในขนาดเป็นพอยนท์ (point size) ที่เท่ากัน คำภาษาอังกฤษคำเดียวกัน ตัวอักษรโรมันจะออกมามีขนาดทางกายภาพเล็กกว่า ทั้งนี้เกิดจากความแตกต่างในเรื่องการวัดขนาดตัวอักษร ซึ่งภาษาไทยจะต้องวัดความสูงจากเส้นกรอบบน (ขอบเขตสูงสุดของชั้นวรรณยุกต์บน) จนถึงเส้นกรอบล่าง (ขอบเขตต่ำสุดของชั้นสระล่าง) ในขณะที่ตัวโรมันวัดจาก ascent line (ขอบเขตสูงสุดของตัวพิมพ์ใหญ่) ถึง descent line (ขอบเขตต่ำสุดของ descender) ดังนั้น ในหน่วยวัดที่เท่ากัน (เช่น 12 pt เท่ากัน) ตัวอักษรไทยย่อมเล็กกว่าตัวโรมัน เพราะต้องมีพื้นที่ให้ใส่สระบน, สระล่าง และวรรณยุกต์ รวมอยู่ด้วย
boongkee1.png
tomorrow-450x3091.png
ภาพประกอบทั้งสองภาพด้านบน มาจากหนังสือ ในหนังสือ “แบบตัวพิมพ์ไทย” จัดทำโดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) สังเกตว่า ทั้งสองภาพใช้คำศัพท์เรียกเส้นระยะต่างๆ ไม่เหมือนกัน
ดังนั้น ค่าปริยายที่ 12 pt จึงดูเล็กเกินไปสำหรับหลายคน ทำให้เมื่อใดก็ตามที่เริ่มพิมพ์เอกสาร หลังจากเลือกฟอนต์ยอดนิยมแห่งชาติ เช่น Angsana แล้ว ต้องเพิ่มขนาดเป็น 14 pt (หรือขนาดอื่น) ไปโดยอัตโนมัติ
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะบอกว่า “เห็นไหมล่ะ ฟอนต์ไทยต้องใช้ตัวใหญ่กว่าฟอนต์อังกฤษ เพิ่มขนาดไป 2 pt แน่ะ” ใช่ไหม? – อย่าเพิ่งด่วนสรุป ลองมาพิจารณาขนาดทางกายภาพกันบ้าง
จากหนังสือเล่มเดิม มีการเสนอแนะแนวทางของการกำหนดขนาดตัวโรมันในฟอนต์ไทยไว้ดังภาพ จะเห็นว่า เมื่อต้องการใช้ภาษาไทยกับภาษาอังกฤษร่วมกัน สัดส่วนของตัวโรมันที่ตำราเล่มนี้แนะนำคือ พยัญชนะไทยจะมีความสูงอยู่ระหว่างตัวพิมพ์ใหญ่กับตัวพิมพ์เล็กของโรมัน ซึ่งเชื่อว่า “สัดส่วนที่แนะนำ” และมีตัวเลขกำกับชัดเจนนี้เกิดจากการสะสมประสบการณ์และลองผิดลองถูกมาพอสมควร ก่อนจะได้ข้อสรุปดังนี้
boobeeheg-450x1961.png
โดยส่วนตัวเชื่อว่าสัดส่วนที่แนะนำนี้ไม่น่าจะนำมายึดถือได้เป็นสูตรสำเร็จตายตัวชนิดที่วัดเป็นหน่วยได้ เพราะแบบตัวพิมพ์โรมันแต่ละชุดยังมีสัดส่วน x-height กับ capital height ที่ไม่เท่ากันเลย แต่พอจะใช้เป็นหลักเกณฑ์คร่าวๆ ได้เหมือนกันว่าภาษาไทยตัวใหญ่กว่า
ถ้ามองในแง่ที่ว่า เพราะลักษณะรูปร่างของตัวอักษรไทยและลาวที่มีความซับซ้อนกว่าตัวพิมพ์โรมัน ทำให้ต้องใช้ขนาดที่ใหญ่กว่าเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนในการอ่านก็สมเหตุสมผล (เชื่อว่าสำคัญกว่าการหลีกเลี่ยง “หัวตัน” จากการพิมพ์) สำหรับงานที่จบบนหน้าจอก็เป็นอย่างที่เห็นกันอยู่ว่าการแยกแยะพยัญชนะคู่สับสน เช่น “ช” กับ “ซ” หรือ “ฏ” กับ “ฎ” ด้วยสายตา ที่ขนาดการใช้งานจริงนั้นยากจริงๆ จนต้องอาศัยความเคยชินในการจดจำตัวอักษรอื่นที่ห้อมล้อมและการจดจำคำมาช่วยแยกแยะ

ขอขอบคุณเว็บที่ให้การศึกษาหาข้อมูล




วิเคราะห์ฟ้อนต์



การวิเคราะห์ตัวอย่างฟ้อนต์


ตัวอย่างฟ้อนต์
















                                                                   Etelka Medium Pro

from Etelka




                                                                        Clarendon

from Clarendon





ตัวอย่างฟ้อนต์




Caslon Stencil D















                                                         Europa Grotesk SH DemiBold















                                                     Europa Grotesk SH Med Extd

















Font คืออะไร

Font คืออะไร


 A font is a set of printable or displayable text characters in a specific style and size. The type design for a set of fonts is the typeface and variations of this design form the typeface family . Thus, Helvetica is a typeface family, Helvetica italic is a typeface, and Helvetica italic 10-point is a font. In practice, font and typeface are often used without much precision, sometimes interchangably.

An outline font is a software typeface that can generate a scalable range of font sizes. A bitmap font is a digital represention of a font that is already fixed in size or a limited set of sizes. The two most popular outline font software programs on today's computers are TrueType and Adobe's Type 1.TrueType fonts come with both Windows and Macintosh operating systems. However, Type is a standard outline font (ISO 9541). Both TrueType and Type fonts can be used by Adobe's PostScript printers (although Adobe says that Type fonts makes fuller use of the PostScript language).

Independent developers and graphic designers create new typefaces for both TrueType and Type 1. Adobe states that there are over 30,000 Type 1fonts available. Fonts (in addition to those that come with your computer) can be purchased as individual typeface families or in typeface collections.
Rouse : 2005)
อ้างอิงจาก :
 http://whatis.techtarget.com/definition/font

     แปลสรุปได้ว่า :  font เป็นกลุ่มของตัวอักษรข้อมูลที่ใช้พิมพ์ได้ หรือแสดงผลได้ที่กำหนดแบบและขนาด ประเภทการออกแบบสำหรับชุดตัวพิมพ์ คือ แบบอักษร และการแปรผันของการออกเพื่อสร้างเป็น ตระกูลแบบอักษร เช่น Helvetica เป็นตระกูลแบบอักษร Helvetica italic ตัวเอียง เป็น แบบอักษร และ Helvetica italic 10-point คือตัวพิมพ์ ซอฟต์แวร์แบบอักษรตัวพิมพ์ที่นิยมมาก 2 โปรแกรมปัจจุบัน คือ true type และ adobe’s type 1โดยฟอนต์ true type มากับระบบปฏิบัติการ Windows และ Macintosh ส่วน type 1 เป็นมาตรฐานoutline font (ISO 9541) ทั้งนี้ฟอนต์ true type และ type 1 สามารถใช้กับเครื่องพิมพ์ adobe’s postscriptได้

Font
 (also, fount) A collection of letters, numbers, punctuation, and other symbols used to set text (or related) matter. Although font and typeface are often used interchangeably, font refers to the physical embodiment (whether it's a case of metal pieces or a computer file) while typefacerefers to the design (the way it looks). A font is what you use, and a typeface is what you see.
อ้างอิงจาก  :
 http://www.fontshop.com/glossary/
  
      แปลสรุปได้ว่า : font คือ ชุดของตัวอักษร ตัวเลข เครื่องหมายวรรคตอนและสัญลักษณ์อื่น ๆ ที่ใช้ในการเขียน หรือพิมพ์ แม้ว่าตัวพิมพ์(font)และแบบอักษร(typeface)คือคำเดียวกันโดยกายภาพ แต่แบบอักษรคือการออกแบบ  เพราะฉะนั้นตัวพิมพ์ (font) คือสิ่งที่เราใช้ ส่วนแบบอักษร (typeface)คือสิ่งที่เราเห็น      ฟ้อนต์ หมายถึง ตัวอักษรที่ต่างกันทั้งแบบและขนาด มีไว้ให้เลือกมากมายเพื่อให้เหมาะกับงานพิมพ์ประเภทต่าง ๆ เช่น ป้ายโฆษณา การพาดหัวข่าว งานพิมพ์เอกสารต่าง ๆ แบบอักษรแต่ละแบบจะมีชื่อ เพื่อให้สะดวกในการเรียกใช้

อ้างอิงจาก
 http://dictionary.sanook.com/search/dict-computer/font

      สรุปได้ว่า ฟ้อนต์ คือชุดตัวอักษร แบบตัวพิมพ์ มาจากแบบอักษรที่เกิดจากการออกแบบ แบบตัวอักษ ที่มีรูปแบบต่างๆ เช่นตัวเอียง แต่อยู่แบบอักษร หรือ ไทป์เฟซเดียวกัน ใช้งานในคอมพิวเตอร์ ประเภทที่นิยม คือ truetype และ adobe's type 1

ที่มา:http://artd2304-dnunai.blogspot.com/2013/11/font.html